ดร.ภาสกร ประถมบุตร
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ศ. ดร. นพ.สมชัย บวรกิตติ
ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
เมืองอัจฉริยะ (Smart cities) เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างกว้าง เนื่องจากสามารถพิจารณาถึงความเป็นอัจฉริยะได้จากหลากหลายประเด็น อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปความเป็นอัจฉริยะของเมืองมักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี แต่มักอยู่ที่ประเด็นด้านสังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์เสียมากกว่า ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเมืองอัจฉริยะ คือ เมืองที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการให้น่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบต่าง ๆ
สาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งที่เป็นที่มาของเมืองอัจฉริยะ คือ ปัญหาความแออัดของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีประมาณการว่าประชากรโลกมากถึงครึ่งหนึ่งเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๙๓ จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะเพิ่มสูงขึ้นถึง ๖.๓ พันล้านคน ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกมีปัญหาจากความแออัด ปัญหาดังกล่าวจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ดำเนินการแก้ไขอย่างเหมาะสม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมใช้ในการแก้ปัญหาของเมือง แทนที่จะใช้แต่เพียงวิธีการแก้ปัญหาทางกายภาพแบบดั้งเดิม (เช่น การตัดถนน ตัดสะพานข้ามแยกเพิ่ม สร้างสวนสาธารณะ สร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ฯลฯ) จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ของเมืองลดน้อยลง หรืออาจกล่าวได้ว่าเมืองนั้นฉลาดขึ้น หรือกลายเป็นเมืองอัจฉริยะนั่นเอง
แนวคิดหลักของการสร้างเมืองอัจฉริยะ คือ การเปลี่ยนประเด็นปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณขยะ ระดับน้ำ การไหลของน้ำ จำนวนรถยนต์บนท้องถนน ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลตัวเลข ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลที่เป็นตัวเลขนั้นสามารถวิเคราะห์และจัดการได้ นอกจากนี้ ยังอาจใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ เช่น การประยุกต์ใช้ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดร่วมกับเทคนิคการประมวลผลภาพ (Image processing) เพื่อตรวจจับอุบัติเหตุ การต่อสู้ เพลิงไหม้ การฝ่าฝืนกฎจราจร ฯลฯ เพื่อแจ้งเหตุให้แก่ผู้เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที
ในยุโรปมีการกำหนดขอบเขตของความเป็นอัจฉริยะของเมืองไว้อย่างกว้าง ๆ เป็น ๖ ด้าน ดังนี้
- เศรษฐกิจอัจฉริยะ คือ การทำให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกรรมด้านเศรษฐกิจ เช่น มีการใช้การเงินดิจิทัล (Digital finance) ในการทำธุรกรรมด้านการเงิน มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดต้นทุน และสร้างรายได้เพิ่มในภาคเกษตรกรท้องถิ่น
- ประชากรอัจฉริยะ คือ การทำให้คนมีความรู้ความสามารถ เช่น การที่ประชากรในเมืองสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์และอย่างสร้างสรรค์ สามารถรู้เท่าทัน และไม่ถูกหลอกลวงจากผู้ไม่ประสงค์ดี
- ระบบบริหารปกครองอัจฉริยะ คือ การที่ประชากรมีส่วนร่วมในการบริหารเมือง เข้าถึงบริการสาธารณะที่มีธรรมาภิบาล เช่น การที่ประชากรสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางช่องทางต่าง ๆ รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงข้อมูล
- การเคลื่อนที่อัจฉริยะ คือ ความคล่องตัวและปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง เช่น การมีระบบขนส่งที่ปลอดภัย ปลอดมลพิษและประหยัดพลังงาน มีระบบบริการแนะนำและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการจราจร และการที่จำนวนอุบัติเหตุจากการจราจรมีปริมาณลดลง
- สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ คือ สภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ ไร้มลพิษ ประหยัดพลังงาน โดยอาจมีระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชากรในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- การดำเนินชีวิตอัจฉริยะ คือ การมีความสะดวกปลอดภัยในการดำเนินชีวิต เช่น มีระบบบริการที่อำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิต (ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ฯลฯ) การเกิดอาชญากรรมลดลง มีพื้นที่อาศัยโดยเฉลี่ยต่อประชากรเหมาะสม ไม่แออัด
ทั้งนี้ การจะวัดว่าต้องมีความเป็นอัจฉริยะมากน้อยเพียงใดจึงจะเรียกเมือง ๆ นั้นว่าเป็นเมืองอัจฉริยะก็ขึ้นกับบริบท หรือความต้องการของเมืองและประชากรในเมืองนั้น ๆ โดยทั่วไป มักเน้นในเรื่องของความสมดุลระหว่างจำนวนประชากรและทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหลัก นอกจากนี้ เมืองอัจฉริยะเมืองหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องมีความเป็นอัจฉริยะในทุก ๆ ด้านก็ได้
สำหรับประเทศไทย มีการมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการจัดการเมืองอัจฉริยะ เนื่องจากเป็นกระทรวงที่รับผิดชอบ สาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ เมืองอัจฉริยะที่เริ่มมีการขับเคลื่อนกันในประเทศไทย โดยมากยังเป็นเพียงเขตหนึ่งของเมือง (ยังไม่ถึงกับเป็นเมืองทั้งเมือง) และยังขาดความเชื่อมโยงกันระหว่างเมือง ตลอดจนการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานที่ขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แนวคิดที่สำคัญในการสร้างเมืองอัจฉริยะ ได้แก่
- ต้องเข้าใจและเข้าถึงถึงความต้องการ การจะพัฒนาเมืองได้ ต้องค้นให้พบว่าปัญหาและความต้องการของประชากรในเมืองนั้นคืออะไร ต้องเก็บข้อมูลและเข้าไปคลุกคลีกับปัญหา การแก้ปัญหาต้องตอบโจทย์ในทุกมิติทั้งวงจรชีพ
- ต้องมีเจ้าภาพตัวจริงในการพัฒนา การพัฒนาเมืองเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่เฉพาะแต่องค์กรที่บริหารเมืองเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องกำหนดเจ้าภาพที่ชัดเจนว่าใครมีบทบาทและรับผิดชอบอะไรในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ
- ต้องให้ความรู้ ความเข้าใจกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยจัดให้มีกิจกรรมการอบรม สัมมนา การสร้างหลักสูตร สื่อประชาสัมพันธ์ ฯลฯ เพื่อให้ประชากรในเมืองเห็นความสำคัญ และร่วมกันออกความคิดเห็นในการพัฒนาเมือง
- ต้องมีการสร้างข้อมูลที่ดี ให้มีความเชื่อมโยง พร้อมต่อยอดและแบ่งปัน ข้อมูลเป็นหัวใจของการพัฒนาเมือง จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ดีในการตัดสินใจ วางแผน ออกแบบ และบริหารจัดการ และต้องเป็นข้อมูลเปิด เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง พร้อมให้ประชากรทุกคนสามารถต่อยอดและแบ่งปันไปสร้างประโยชน์ในด้านอื่นได้
- ต้องมีแบบจำลอง (Business model) เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
- ต้องให้ประชากรทุกคนมีส่วนร่วม เมืองควรจะต้องมีเวที ช่องทาง และกลไกการสร้างการมีส่วนร่วม ให้ชุมชนที่ต้องการพัฒนาได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ออกแบบ บริหาร และตรวจประเมินผลการพัฒนานั้น
- ต้องมีการสร้างสรรค์นวัตกรรม เมืองควรจะต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม เช่น การสร้างพื้นที่นวัตกรรม (Innovation space) ของชุมชน มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกการทดลอง ทดสอบ หรือการพบปะระดมสมอง
- ต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อกำหนด มาตรฐาน ซึ่งอาจทำได้ยาก และต้องใช้เวลานาน แต่ก็เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐาน จะช่วยลดอุปสรรคและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนาเมือง
แนวคิดข้างต้นทั้ง ๘ ข้อ นำมาสู่วิธีการดำเนินการ ได้แก่
- การวางแผนแม่บทพัฒนาคน การเก็บข้อมูลวางแผนแม่บท การตั้งคณะทำงานหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
- การพัฒนาสาธารณูปโภคเชิงดิจิทัล เช่น กล้องโทรทัศน์วงจรปิด และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things, IoT)
- การพัฒนานวัตกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบการและร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการ
- การดำเนินการประเมินและขยายผลตามตัวชี้วัด แล้วปรับแผนวนแบบไม่รู้จบ เพราะการพัฒนาเมืองไม่ใช่กิจกรรมที่กระทำแต่เพียงครั้งเดียวแล้วจะเสร็จสิ้น แต่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาของเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเทคโนโลยีที่อาจนำมาใช้ในการแก้ปัญหาก็เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน